Web3 คืออะไร?
Web3 หรือ Web 3.0 เป็นแนวคิดที่พัฒนาต่อจากอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน (Web 2.0) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากการให้ผู้ใช้เป็นผู้บริโภคเนื้อหาไปสู่การเป็นผู้ผลิตและผู้ควบคุมข้อมูลของตนเองได้อย่างอิสระ โดย Web3 มุ่งเน้นไปที่การกระจายอำนาจ การควบคุมโดยผู้ใช้ และการสร้างความโปร่งใสในการจัดการข้อมูลและธุรกรรม
การกำเนิดของ Web3 เกิดจากการมองเห็นข้อจำกัดของ Web 2.0 ซึ่งข้อมูลและทรัพยากรดิจิทัลอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรใหญ่ๆ ที่เป็นตัวกลาง เช่น Facebook, Google และ Amazon ในขณะที่ Web3 มุ่งเน้นให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและเป็นเจ้าของข้อมูลของตนเองผ่านเทคโนโลยีที่กระจายศูนย์ (Decentralization) และการใช้บล็อกเชน (Blockchain)
ความแตกต่างระหว่าง Web2 กับ Web3
ใน Web 2.0 ผู้ใช้มีบทบาทในการสร้างและแชร์เนื้อหาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้มักจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการทำธุรกรรมของผู้ใช้ไว้ในเซิร์ฟเวอร์ของตนเอง ทำให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการละเมิดความเป็นส่วนตัว
ในขณะที่ Web3 ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและการกระจายอำนาจ ข้อมูลและธุรกรรมจะถูกเก็บไว้บนบล็อกเชนซึ่งเป็นระบบที่โปร่งใสและไม่สามารถแก้ไขได้โดยไม่มีการยินยอมจากผู้ใช้ สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการแฮ็กข้อมูลและการละเมิดความเป็นส่วนตัว
คุณสมบัติสำคัญของ Web3
Web3 มีคุณสมบัติที่แตกต่างและก้าวหน้ามากกว่า Web รุ่นก่อนหน้า ได้แก่:
การกระจายอำนาจ (Decentralization): ข้อมูลและทรัพยากรจะไม่ถูกควบคุมโดยหน่วยงานหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่จะถูกกระจายไปยังเครือข่ายของผู้ใช้ที่มีส่วนร่วม
ความโปร่งใส (Transparency): การทำธุรกรรมและข้อมูลต่าง ๆ จะถูกบันทึกบนบล็อกเชนที่สามารถตรวจสอบได้ โดยไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ง่าย
ความเป็นส่วนตัว (Privacy): ผู้ใช้มีสิทธิ์ในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง และสามารถเลือกแชร์ข้อมูลกับผู้ใช้หรือแพลตฟอร์มที่ตนไว้วางใจเท่านั้น
เทคโนโลยีที่สนับสนุน Web3
การพัฒนาและการทำงานของ Web3 ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีหลักหลายอย่าง ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
1. บล็อกเชน (Blockchain)
บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ทำให้ Web3 สามารถกระจายอำนาจและรักษาความโปร่งใสได้ บล็อกเชนเป็นระบบการบันทึกข้อมูลในลักษณะโซ่ของบล็อกข้อมูล แต่ละบล็อกจะถูกเชื่อมต่อกัน และข้อมูลที่ถูกบันทึกลงในบล็อกเชนไม่สามารถถูกแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ ทำให้ธุรกรรมและการจัดการข้อมูลมีความปลอดภัยสูง
2. สมาร์ทคอนแทรค (Smart Contracts)
สมาร์ทคอนแทรคเป็นสัญญาอัจฉริยะที่ทำงานบนบล็อกเชน เมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้ถูกทำให้เป็นจริง สมาร์ทคอนแทรคจะดำเนินการโดยอัตโนมัติ ช่วยลดความเสี่ยงจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญาและช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง
3. สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency)
สกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin, Ethereum และอื่น ๆ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ Web3 ซึ่งใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน มูลค่าที่ถูกเก็บรักษา และใช้ในการทำธุรกรรมในระบบบล็อกเชน Cryptocurrency ช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีความปลอดภัยโดยไม่ต้องพึ่งพาธนาคารหรือสถาบันการเงิน
4. โทเคนที่ไม่สามารถแทนที่กันได้ (Non-Fungible Tokens – NFTs)
NFTs เป็นโทเคนดิจิทัลที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของทรัพยากรดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่สามารถแทนที่กันได้ ซึ่งอาจเป็นงานศิลปะ เพลง วิดีโอ หรือทรัพยากรดิจิทัลอื่น ๆ NFTs ได้รับความนิยมอย่างมากในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการศิลปะและบันเทิง
ประโยชน์ของ Web3
Web3 มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับอินเทอร์เน็ตและทรัพยากรดิจิทัล ซึ่งมีประโยชน์มากมาย ได้แก่:
1. ความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้น
ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลของตนเองได้อย่างเต็มที่และเลือกแชร์ข้อมูลกับผู้ที่ตนไว้วางใจเท่านั้น ข้อมูลส่วนบุคคลไม่ถูกเก็บรักษาไว้ในเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรใหญ่ ๆ ซึ่งลดความเสี่ยงจากการถูกแฮ็กหรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว
2. ความปลอดภัยที่สูงขึ้น
การใช้บล็อกเชนและสมาร์ทคอนแทรคช่วยให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างปลอดภัย โปร่งใส และไม่สามารถปลอมแปลงได้ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบและยืนยันข้อมูลได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาคนกลาง
3. การลดบทบาทของคนกลาง
Web3 ช่วยลดความจำเป็นในการพึ่งพาคนกลาง เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้อง
4. การสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เข้าถึงได้ง่าย
ด้วยการใช้สกุลเงินดิจิทัลและ NFTs ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้าและบริการ การลงทุน หรือการสร้างสรรค์และขายทรัพยากรดิจิทัลของตนเอง
ความท้าทายและข้อจำกัดของ Web3
ถึงแม้ว่า Web3 จะมีศักยภาพและประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังมีความท้าทายและข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา ได้แก่:
1. การปรับตัวของผู้ใช้
การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น บล็อกเชน สมาร์ทคอนแทรค และสกุลเงินดิจิทัล อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ยังไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีเหล่านี้ ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ Web3 ยังต้องการการศึกษาและการฝึกฝนเพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จาก Web3 ได้อย่างเต็มที่
2. การบริหารจัดการกฎระเบียบ
ในหลายประเทศยังไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจนในการควบคุมและบริหารจัดการเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Web3 เช่น การใช้สกุลเงินดิจิทัลและ NFTs กฎระเบียบที่ไม่แน่นอนอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจและการลงทุนใน Web3
3. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
แม้ว่า Web3 จะมีการรักษาความปลอดภัยที่สูงขึ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ การแฮ็กข้อมูล หรือการใช้สมาร์ทคอนแทรคที่มีช่องโหว่ ความปลอดภัยของ Web3 ขึ้นอยู่กับการพัฒนาและการปรับปรุงเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
4. ความเสี่ยงจากการกระจายอำนาจ
การกระจายอำนาจใน Web3 แม้ว่าจะเป็นประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็อาจทำให้เกิดความยากลำบากในการบริหารจัดการและควบคุมระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดปัญหาหรือข้อขัดแย้งที่ต้องการการแก้ไข
บทสรุป: อนาคตของ Web3
Web3 เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโลกดิจิทัลที่มีศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการข้อมูล การทำธุรกรรม การสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล หรือการเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในการใช้งานอินเทอร์เน็ต
แม้ว่า Web3 จะยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและการนำไปใช้ แต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเปลี่ยนแปลงวิธีการที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีและทรัพยากรดิจิทัล ความท้าทายและข้อจำกัดที่มาพร้อมกับ Web3 เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาและต้องการการแก้ไข แต่หากสามารถพัฒนาและปรับปรุงได้อย่างเหมาะสม Web3 มีศักยภาพที่จะเป็นพื้นฐานใหม่ของอินเทอร์เน็ตในอนาคต
Web3 กับการตลาด?
Web3 กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ธุรกิจดำเนินการตลาดในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดการข้อมูลผู้บริโภค การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และการสร้างคุณค่าใหม่ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ มาดูว่า Web3 มีผลกระทบต่อการตลาดอย่างไร:
การกระจายอำนาจและการควบคุมข้อมูลของผู้บริโภค
หนึ่งในคุณสมบัติหลักของ Web3 คือการกระจายอำนาจในการควบคุมข้อมูล ซึ่งต่างจาก Web 2.0 ที่บริษัทและแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ มักเป็นผู้ควบคุมข้อมูลของผู้ใช้ ใน Web3 ผู้บริโภคมีสิทธิ์เต็มที่ในการจัดการข้อมูลส่วนตัวของตนเอง การตลาดในยุค Web3 จึงต้องเปลี่ยนวิธีการจากการรวบรวมข้อมูลโดยตรงไปเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่เน้นความไว้วางใจและความยินยอมจากผู้บริโภค
ตัวอย่าง: การใช้โทเคนเพื่อสร้างแรงจูงใจ
แบรนด์สามารถใช้โทเคนหรือสกุลเงินดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับลูกค้า เช่น การมอบโทเคนให้กับผู้บริโภคที่ร่วมกิจกรรมกับแบรนด์ ซึ่งโทเคนเหล่านี้อาจถูกใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าหรือแลกเปลี่ยนเป็นสิทธิพิเศษอื่นๆ การใช้โทเคนยังช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์และกระตุ้นการมีส่วนร่วมจากผู้บริโภค
การสร้างคอนเทนต์และการตลาดแบบกระจายศูนย์
ใน Web3 การตลาดจะไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มกลางในการกระจายคอนเทนต์ การตลาดแบบกระจายศูนย์ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรงผ่านเทคโนโลยีอย่างบล็อกเชน ตัวอย่างเช่น การใช้โทเคน NFT ในการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่สามารถแทนที่กันได้ (เช่น งานศิลปะ วิดีโอ หรือสินค้าที่มีลักษณะเฉพาะ) ซึ่งสามารถขายหรือมอบให้กับลูกค้าได้โดยตรง
การใช้ NFTs ในการสร้างคุณค่าใหม่
NFTs เป็นตัวอย่างของการใช้ Web3 ในการตลาดที่ได้รับความนิยม แบรนด์สามารถใช้ NFTs ในการสร้างสินค้าที่มีความพิเศษและมูลค่าที่ไม่สามารถแทนที่ได้ เช่น การปล่อยคอลเลคชั่นสินค้าดิจิทัลที่เป็นเอกลักษณ์ หรือการมอบ NFTs เป็นรางวัลให้กับลูกค้าที่สนับสนุนแบรนด์มาอย่างยาวนาน นอกจากจะเป็นการสร้างความพิเศษให้กับแบรนด์แล้ว NFTs ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของแบรนด์ได้ในรูปแบบดิจิทัล
ความโปร่งใสและการตรวจสอบได้
Web3 ทำให้การทำธุรกรรมและการดำเนินการทางการตลาดมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ผ่านบล็อกเชน ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบที่มาของสินค้าหรือบริการ รวมถึงการรับประกันความเป็นของแท้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสร้างความไว้วางใจและความภักดีในแบรนด์
การตลาดเชิงโปร่งใส
ธุรกิจสามารถใช้ความโปร่งใสของบล็อกเชนในการทำให้การตลาดของตนมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เช่น การเปิดเผยข้อมูลที่มาของผลิตภัณฑ์ หรือการยืนยันว่าผลิตภัณฑ์เป็นของแท้ผ่านบล็อกเชน สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความไว้วางใจจากผู้บริโภคและทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
การมีส่วนร่วมของชุมชน (Community Engagement)
Web3 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการสร้างและพัฒนาแบรนด์ ผู้บริโภคไม่ได้เป็นเพียงลูกค้า แต่ยังสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการพัฒนาแบรนด์ผ่านการถือครองโทเคนหรือการมีส่วนร่วมในแพลตฟอร์มแบบกระจายศูนย์ ซึ่งการมีส่วนร่วมของชุมชนช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยั่งยืนระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
การตลาดแบบ DAO (Decentralized Autonomous Organization)
DAO เป็นองค์กรที่ดำเนินงานแบบกระจายศูนย์ ซึ่งใช้บล็อกเชนในการบริหารจัดการและตัดสินใจแบบประชาธิปไตย แบรนด์สามารถสร้าง DAO เพื่อให้ผู้ถือโทเคนสามารถมีสิทธิ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการพัฒนาและทิศทางของแบรนด์ การสร้าง DAO ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับชุมชนผู้สนับสนุน และเปิดโอกาสให้ลูกค้ามีบทบาทในการกำหนดอนาคตของแบรนด์
ความท้าทายของการตลาดใน Web3
แม้ว่า Web3 จะมีศักยภาพในการสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องพิจารณา เช่น การปรับตัวของผู้บริโภคและธุรกิจต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ กฎระเบียบและข้อบังคับทางกฎหมายที่ยังไม่แน่นอน และความซับซ้อนในการพัฒนาและใช้งานเทคโนโลยีบล็อกเชน
การปรับตัวของแบรนด์และผู้บริโภค
แบรนด์และผู้บริโภคต้องเรียนรู้และปรับตัวต่อเทคโนโลยี Web3 ซึ่งอาจเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับบล็อกเชนหรือสกุลเงินดิจิทัล ความเข้าใจในเทคโนโลยีนี้เป็นสิ่งสำคัญในการใช้ประโยชน์จาก Web3 ในการตลาด
สรุป
Web3 กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านการตลาดโดยการกระจายอำนาจและเพิ่มความโปร่งใสให้กับการทำธุรกรรมทางการตลาด แบรนด์สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและโปร่งใสกับลูกค้า โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน, NFTs และ DAO อย่างไรก็ตาม การปรับตัวและการเรียนรู้ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการนำพาธุรกิจเข้าสู่ยุคใหม่ของ Web3 และการตลาดแบบกระจายศูนย์
ตัวอย่าง Web3 apps?
Web3 apps หรือที่เรียกว่า “DApps” (Decentralized Applications) เป็นแอปพลิเคชันที่ทำงานบนเครือข่ายบล็อกเชนและมีคุณสมบัติที่กระจายศูนย์ ไม่มีตัวกลางควบคุม ข้อมูลและการทำธุรกรรมทั้งหมดในแอปเหล่านี้ถูกบันทึกบนบล็อกเชน ซึ่งทำให้มีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น ตัวอย่างของ Web3 apps ที่ได้รับความนิยมมีดังนี้:
1. Uniswap
Uniswap เป็น DApp ที่ทำงานบนเครือข่าย Ethereum เป็นตัวอย่างของการแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Exchange – DEX) ที่ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางหรือนายหน้า ระบบใช้โปรโตคอลที่เรียกว่า Automated Market Maker (AMM) เพื่อกำหนดราคาซื้อขายและสภาพคล่อง ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนโทเคนได้ทันที
2. MetaMask
MetaMask เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล (Crypto Wallet) ที่ใช้สำหรับจัดการสกุลเงินดิจิทัลและโทเคนที่ทำงานบนเครือข่าย Ethereum และเครือข่ายบล็อกเชนอื่น ๆ MetaMask สามารถใช้ในการเชื่อมต่อกับ DApps ต่าง ๆ เพื่อทำธุรกรรม เช่น การซื้อขาย NFT การลงทุนใน DeFi และการใช้บริการ Web3 อื่น ๆ
3. OpenSea
OpenSea เป็นตลาดซื้อขาย NFT ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยน และเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเฉพาะ (เช่น งานศิลปะ ดิจิทัล การ์ดสะสม และอื่น ๆ) OpenSea ทำงานบนบล็อกเชน Ethereum และให้ความสำคัญกับการสร้างตลาดที่มีความโปร่งใสและปลอดภัย
4. Axie Infinity
Axie Infinity เป็นเกมที่ทำงานบนบล็อกเชน Ethereum ซึ่งผู้เล่นสามารถเพาะพันธุ์ เลี้ยงดู และต่อสู้กับสัตว์ประหลาดดิจิทัลที่เรียกว่า “Axies” โดย Axies เหล่านี้เป็น NFTs ที่ผู้เล่นสามารถซื้อขายได้ในตลาด การเล่น Axie Infinity ยังเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถหารายได้จริงจากการเล่นเกม ซึ่งเป็นตัวอย่างของโมเดล “Play-to-Earn” ที่ได้รับความนิยม
5. Aave
Aave เป็นแพลตฟอร์มการให้กู้ยืมเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) ที่ผู้ใช้สามารถให้ยืมและกู้ยืมสกุลเงินดิจิทัลโดยไม่ต้องผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงินกลาง ระบบใช้โปรโตคอลสมาร์ทคอนแทรคในการจัดการการให้ยืมเงินและการชำระดอกเบี้ย ซึ่งช่วยให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างโปร่งใสและปลอดภัย
6. Compound
Compound เป็นอีกหนึ่ง DApp ที่ให้บริการการกู้ยืมและการให้ยืมสกุลเงินดิจิทัลผ่านบล็อกเชน Ethereum ผู้ใช้สามารถฝากสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อรับดอกเบี้ย หรือยืมเงินดิจิทัลโดยใช้สินทรัพย์เหล่านี้เป็นหลักประกัน Compound ทำงานแบบกระจายศูนย์และใช้สมาร์ทคอนแทรคเพื่อจัดการการทำธุรกรรม
7. SushiSwap
SushiSwap เป็น DEX อีกตัวหนึ่งที่ทำงานคล้ายกับ Uniswap แต่มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นผ่านการสเตก (staking) โทเคน และการทำฟาร์มผลตอบแทน (yield farming) SushiSwap ให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล และยังมีการสร้างชุมชนที่มีการมีส่วนร่วมอย่างสูงในการตัดสินใจเรื่องการพัฒนาแพลตฟอร์ม
8. Rarible
Rarible เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการสร้าง ซื้อขาย และแลกเปลี่ยน NFTs ที่ผู้ใช้สามารถสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่สามารถแทนที่ได้และนำไปขายในตลาดได้ Rarible เน้นการให้ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาและกำหนดค่าธรรมเนียมได้เอง ทำให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับศิลปินและผู้สร้างคอนเทนต์ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชน
9. Chainlink
Chainlink เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในโลก Web3 ซึ่งทำหน้าที่เป็น “oracle” ที่เชื่อมต่อข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ากับบล็อกเชน ทำให้สามารถใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ ในการสร้างสมาร์ทคอนแทรคที่มีความซับซ้อนมากขึ้น Chainlink ถูกใช้ในหลายโปรเจกต์ DeFi และ DApps ที่ต้องการข้อมูลนอกเครือข่ายบล็อกเชน เช่น ข้อมูลราคาหุ้น หรือผลการแข่งขันกีฬา
10. Brave Browser
Brave เป็นเว็บเบราว์เซอร์ที่มุ่งเน้นการรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และเป็นที่รู้จักในฐานะเบราว์เซอร์ที่รวมฟีเจอร์ Web3 ไว้อย่างแนบเนียน Brave มีระบบโฆษณาที่ไม่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และให้รางวัลเป็นโทเคน BAT (Basic Attention Token) แก่ผู้ใช้ที่ยอมรับดูโฆษณา นอกจากนี้ Brave ยังรองรับการใช้งาน DApps และกระเป๋าเงินคริปโตอย่าง MetaMask ได้อย่างราบรื่น